ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ความคิดโง่ๆ

๖ ธ.ค. ๒๕๕๒

 

ความคิดโง่ ๆ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

จะพูดเรื่องทำความสงบของใจ การทำความสงบของใจมันมีอานิสงส์มาก มันมีอานิสงส์สำหรับตัวเราเอง แต่เวลาเราทำบุญกุศลเห็นไหม มันก็เหมือนกับให้อานิสงส์กับตัวเราเองเหมือนกัน แต่ตัวเราเองมันมีนอกมีใน นอกหมายถึงว่าบุญกุศลมันเป็นอามิส มันจะทำให้เราเวียนตายเวียนเกิด มันทำให้มีกำลังขับเคลื่อนของเรา

แต่ถ้าทำจิตสงบขึ้นมาเห็นไหม ตัวจิตสงบ พลังงานมันมหาศาลเลย นี้การทำจิตสงบมันทำได้ยาก ทำได้ยากนะ การทำได้ยากหมายถึงว่า ดูสิเวลาเราไปบนจราจรเห็นไหม ที่จราจรคับคั่งน่ะ เราไปติดขัดในการจราจรนั้น ในความคิดของเราความคิดโดยปกติเหมือนกับเราไปในจราจรที่คับคั่ง แล้วเราพยายามเอาตัวรอดจากความติด รถติดอันนั้น

ยิ่งถ้าเป็นทางน้ำ จราจรทางน้ำเห็นไหม เรือด่วนเรือต่างๆ มันจราจรคับคั่งนี่ เราจะรักษาชีวิตเราอย่างไร โดยปกติความรู้สึกความนึกคิดของเรา มันจะเกิดกับจิตตลอดเวลา ถ้ามันเกิดกับจิตตลอดเวลา เวลาทำความสงบของใจ การทำความสงบของใจนะ มันเป็นข้อเท็จจริงของใจนั้น แต่เพราะเราไม่เคยทำ เราไม่เข้าใจตามความเป็นจริง

แต่เราไปสร้างอารมณ์กันเห็นไหม เราไปสร้างอารมณ์กัน สัญญาอารมณ์น่ะ ถ้ามันสงบจากสัญญาอารมณ์ มันไม่ได้สงบจากสัญญาอารมณ์มาเป็นจิตสงบ มันไปสงบที่สัญญาอารมณ์ ให้สัญญาอารมณ์นั้นเปลี่ยนสัญญาอารมณ์นั้น เป็นสัญญาอารมณ์ความรู้สึกว่าว่าง มันไม่ได้เข้ามาสู่ตัวจิตว่าเป็นความว่าง ฉะนั้นเวลากำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธ เห็นไหม มันจะกำหนดพุทโธ พุทโธเพื่อความสงบของใจ เพื่อกลับมาสู่ตัวจิต คือ ตัวพลังงาน

ทีนี้ตัวพลังงาน พลังงานเห็นไหม พลังงานเวลาเกิด พลังงานตัวนี้ปฏิสนธิจิต พลังงานตัวนี้ไปเกิดเป็นพรหมเห็นไหม มีขันธ์เดียว ไปเกิดเป็นเทวดาล่ะ เกิดเป็นมนุษย์ล่ะ เกิดเป็นสัตว์นรกอเวจีล่ะ ไอ้ขันธ์ คือ ว่าสถานะที่เราไปเกิดน่ะ มันเป็นภพชาติ สิ่งที่ภพชาติเห็นไหม ดูสิเขาว่าภพชาตินี่ตาย คนเราตายจากสถานะ คือ ตายจากมนุษย์ ตายจากเทวดา ตายจากอินทร์ ตายจากพรหม แต่จิตไม่ตาย

ตัวจิตตัวไม่ตาย ตัวปฏิสนธิจิต คือ ตัวพลังงานตัวนี้ แล้วถ้าเราทำพุทโธ พุทโธ ถ้าจิตมันสงบ มันสงบเข้ามาสู่ตัวนี้ไง สงบเข้ามาสู่ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิวิญญาณ แต่ขณะที่เรารับรู้กันอยู่ ความรู้สึก จราจรที่มันคับคั่งกันอยู่ มันเป็นวิญญาณในอายตนะ มันเป็นวิญญาณในขันธ์ ๕ เห็นไหม รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ กับพลังงานตัวหนึ่ง

เห็นไหมจราจรที่มันคับคั่ง คือ จราจรที่มันคับคั่งอยู่บนขันธ์ ๕ นี้ อยู่บนความรู้สึกอันนี้ ถ้าอยู่บนความรู้สึกอันนี้ ถ้าความรู้สึกอันนี้เห็นไหม ดูสิเจ้าหน้าที่จราจร ตำรวจจราจร เวลาเขาเคลียร์รถออกไปหมดแล้วเห็นไหม ที่นี่จะโล่งว่างไปหมดเลย แต่ถ้าโล่งว่างไปแล้ว มันก็เหลือแต่ถนนไง ถ้าเป็นทางน้ำก็เหลือแต่สายน้ำเห็นไหม มันว่างอะไรล่ะ มันว่างจากรถเห็นไหม แต่มันไม่ได้ ตัวสถานที่มันยังมีอยู่เห็นไหม

นี่สิ่งที่สถานะที่เกิด สถานะที่เกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันมีสถานะของมัน เวลาพวกเทวดาเขาอยู่ของเขาอย่างไร เวลาพรหมเขาอยู่ของเขาอย่างไร มนุษย์อยู่ของเราอย่างไร สิ่งต่างๆ อย่างนี้ มันเป็นสถานะที่เราได้มา สถานะที่เราได้มาเพราะจิตมันไปเกิด ปฏิสนธิจิต ถ้าจิตสงบมันเข้าไปสู่สงบตัวนั้น ถ้าเข้าสงบสู่ตัวนั้นเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางกรรมฐาน ๔๐ ห้องไว้ให้เรากำหนดพุทโธ อานาปานสติ อะไรก็ได้ แต่ต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่ง

ถ้าไม่มีอย่างใดอย่างหนึ่ง จิตนี้เป็นนามธรรม พอจิตนี้เป็นนามธรรม สิ่งที่มันจะเข้าไปสงบ มันจะเอาอะไรไปสู่ความสงบ เราใช้คำว่าตัดรากถอนโคนเห็นไหม คำว่าตัดรากถอนโคนเราไปสร้างภาพไว้ข้างนอก เราไปสร้างภาพไว้ข้างนอก แล้วเราไปตามสู่ความข้างนอกนั้น เวลามันหายไปเห็นไหม

ขนาดที่หลวงตาท่านพูดขนาดนี้นะ ว่าถ้ากำหนดพุทโธ พุทโธควรกำหนดพุทโธไว้ที่ไหน หลวงตาบอกว่า ควรกำหนดพุทโธไว้ที่ปลายจมูก เหมือนกับเราอยู่ที่ปากประตูบ้านของเรา เรายืนอยู่ที่ปากประตูบ้านของเรา คนจะเข้าบ้านเรา คนจะออกจากบ้านเรา เราจะเห็นตลอดเลย

แต่ถ้ากำหนดพุทโธตามลมเห็นไหม ขนาดนี่ตามลมมันเคลื่อนแล้วนะ ถ้าตามลม ขนาดที่เราอยู่ที่ประตูบ้าน คนเขามาเยี่ยมบ้านเรา เขาเข้ามาในบ้านเรา เราตามคนนั้นเข้าไป ประตูบ้านเราทิ้งแล้ว เราทิ้งประตูบ้านแล้ว แล้วถ้าเราตามลมเข้าไป ทิ้งที่ประตูบ้าน คนที่เข้ามา เขาจะเข้ามา ใครเข้ามายังได้อีกเห็นไหม แต่ถ้าเราเฝ้าอยู่ที่ประตูบ้าน เรากำหนดที่ปลายจมูกเห็นไหม ลมเข้าก็รู้ ลมออกก็รู้ พุทโธเข้าก็รู้ พุทโธออกก็รู้ เฝ้าอยู่ที่ปากประตูนั้นเห็นไหม

พอเฝ้าอยู่ที่ปากประตูนั้น ใครเข้า ใครออกมันก็รู้ ใครเป็นคนเฝ้า สติเห็นไหม สติมันเกิดจากอะไร สติมันเกิดจากจิต เกิดจากความรู้สึกของเรานะ สติ ความคิด การจราจรคับคั่งอยู่ มันคับคั่งเพราะใคร คับคั่งเพราะปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตมันเกิดมาเป็นเรา เรามีขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ มันเป็นการฟุ้งซ่าน มันเป็นเรื่องของโลก มันมีความคิด มันรบกวนเราตลอดเวลาเลย รบกวนตลอดเวลาเลย

นี้การรบกวนตลอดเวลา เคลียร์ให้มันว่างไป พอเคลียร์ให้มันว่างไป มันได้อะไร สถานที่นั้นอยู่ถนนหนทางเต็มไปหมดเลย มันคาอยู่ไหม มันว่างจริงไหม แต่ถ้ามันเป็นว่างนะ ถนนหนทางเราสลัดทิ้งหมดเลย ตัวเราเป็นเอกเทศเลย ถ้าตัวเราเป็นเอกเทศเห็นไหม สิ่งนี้มันถึงจะเป็นสัมมาสมาธิ มันถึงจะเป็นจิตหนึ่ง ถ้าเป็นจิตหนึ่ง คำว่าจิตหนึ่งนี่เป็นสมาธินะ

จิตหนึ่งไม่ใช่นิพพาน นิพพานไม่ใช่จิตหนึ่ง เพราะนิพพาน เวลานี้นิพพานมันต้องกระบวนการของจิตหนึ่ง แล้วมันต้องชำระล้างตัวมันเองจนหมดไง อาสเวหิ จิตตานิ วิมุจจิง สูติ อาสวะสิ้นไป สิ้นไปจากไหน จิตหนึ่งอาสวะสิ้นไปไหม จิตหนึ่งอาสวะไม่สิ้นไปนะ จิตหนึ่งคือสงบเข้ามาเฉยๆ มันเคลียร์พื้นที่ได้หมด เคลียร์ทุกอย่างหมดเลย พอเคลียร์ทุกอย่างหมดเหลืออะไร เหลือถนนหนทางไง เหลือทุกอย่างที่มันว่างอยู่ไง แต่มันเหลืออยู่ไหม เหลืออยู่

ฉะนั้นขณะที่ทำเห็นไหม ขณะที่ทำที่มันกำหนดพุทโธ พุทโธ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันต้องมีความมุ่งมั่นนะ การที่ทำจิตสงบได้ มันเท่ากับเอาชนะตัวเราเองแล้วนะ ตอนนี้เราแพ้เราเอง เราแพ้ความคิดไง จราจรคับคั่ง ความคิดที่มันออกมาจากรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณมันออกมา ออกมาแสดงตัวตลอดเวลา มันเหยียบย่ำหัวใจไง เหยียบย่ำพลังงานตัวนั้นไง แล้วเราเห็นพลังงานตัวนั้น เราหาพลังงานตัวนั้นไม่เจอไง พอเราหาพลังงานตัวนั้นไม่เจอใช่ไหม

เราจับอารมณ์ความรู้สึก โอ้.. จิต เออ..ความรู้สึก เออ.. เราจับอารมณ์ความรู้สึกแต่เราไม่ได้จับตัวพลังงาน เพราะมันต้องแสดง พลังงานนี้มันต้องแสดงผ่านอารมณ์ออกมา พอเราผ่านอารมณ์ออกมา อารมณ์ความรู้สึก เราจับอารมณ์ได้ใช่ไหม พออารมณ์มันว่างไง เราเคลียร์จราจรให้มันว่างไง แล้วมันได้อะไรล่ะ มันได้อะไร เพราะถ้าคนมันพูดอย่างนี้ เพราะคนมันไม่เคยเห็นจิตไง คนไม่เห็นว่าถนนหนทางต่างๆ ใครเป็นคนสร้างขึ้นมา ก็มนุษย์สร้างขึ้นมา

จิตมันก็เป็นคนสร้างของมันขึ้นมา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันก็สร้างขึ้นมาจากจิต สติมันก็สร้างขึ้นมาจากจิต และจิตดูสิเวลาเรานั่งสบายๆ เหม่อลอยเห็นไหม นั่นตัวจิต จิตเพียวๆ เลย ขณะที่เราไม่ได้คิดเลย เราปล่อยว่างหมดเลย แต่ไม่มีสติเห็นไหม นั่นแหละตัวของมัน แต่ตัวมันไม่มีสติไง บอกว่าเราบอกว่าสติโดยธรรมชาติ สติปัญญามนุษย์มีทุกคน

สัตว์โลกที่เกิดมามีสติมีปัญญาทั้งนั้นน่ะ แต่มันเป็นสถานะของเขา ของมนุษย์ก็อย่างหนึ่ง ของเทวดา อินทร์ พรหม ก็อย่างหนึ่ง แล้วมนุษย์มันก็มีเชาว์ปัญญาแตกต่างกันหลากหลาย ความแตกต่างหลากหลาย ปัญญาอย่างนี้ มันปัญญาของกิเลส มันเป็นปัญญาของสถานะที่มันมี ทีนี้พอเรามาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้ทำความสงบของใจ

ถ้าทำความสงบของใจแล้ว ใจออกวิปัสสนา มันจะชำระกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป มันจะมีความสุขของมัน นี้พอเราศึกษามาเราก็จะเลียนแบบไง เป็นรูปแบบ แล้วทำให้ได้สถานะอย่างนั้น ทำได้มันเป็นความจำ สัญญาอารมณ์มันเป็นความจำขึ้นมา มันไม่เป็นความจริง แต่ถ้าพอเป็นความจริงขึ้นมาทุกคนจะตกใจนะ เวลาเป็นความจริงขึ้นมาทุกคนก็ตื่นเต้น

อย่างถ้าจิต จิตมันจะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงหน้ามือกับหลังมือ หน้ามือเห็นไหม จิต หน้ามือเราใช้มือทำงาน เรารับรู้ได้หมด โดยฝ่ามือของเรา เราจับอะไร เราก็รู้ได้หมดเลย เรารู้ทั้งนั้นน่ะ โดยสามัญสำนึก เราทำเราคิดของเราอยู่อย่างนั้นน่ะ เราพุทโธ พุทโธ พุทโธนี่ มันเปลี่ยนแปลง มันจะเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ เราพลิกหน้ามือเป็นหลังมือเห็นไหม

ความพลิกของจิต ถ้าจิตมันจะพลิกแพลง มันจะมีอาการไหม ดูปลาในน้ำสิ เวลาปลามันว่ายน้ำนี่ เวลามันว่ายน้ำด้วยความแรงของมัน มันจะกระเทือน น้ำจะสั่นไหวไปหมดเลย แล้วจิตมันจะพลิกแพลงขึ้นมา มันจะมีอาการไหม อาการฟุ้งซ่าน อาการของการจราจรคับคั่ง อย่างนั้นน่ะมันมีแต่ควันพิษ มันมีต่างๆ ทำให้เราเดือดร้อนไปหมดเลย นั้นอาการอย่างนั้นก็เป็นอาการอันหนึ่งนะ

อาการที่มันพอมันจะเปลี่ยนแปลง มันจะเคลียร์ให้รถราออกไปจากนั้น ให้มันว่างหมด มันก็มีอาการอีกอันหนึ่งนะ อาการอันหนึ่งเวลาจิตมันมีอาการ อย่างเช่นอย่างที่ว่า จิตมันจะวูบลง จิตมันจะมีความรู้สึก จิตต่างๆ เราก็ไปตื่นเต้น พอไปตื่นเต้น ไม่ตื่นเต้นเปล่านะ สร้างทฤษฎีขึ้นมา อันนี้เป็นสมถะ สมถะนี่มันจะให้ผลเป็นลบ มันจะเป็นนิมิต มันจะติด มันจะทำอะไร

มันจะติดไม่ติดมันเหมือนคนไข้ โรงพยาบาลนะเวลาคนไข้เข้าไป คนไข้แต่ละคนไม่เหมือนกัน โรคภัยไข้เจ็บของบุคคลที่เข้าไปโรงพยาบาล ไปตรวจโรค บางคนไปตรวจโรค ไปตรวจประจำเดือนไม่มีไข้ แต่มาตรวจมาดูแลร่างกายของเรา นี่ก็เหมือนกันเวลาจิตมันจะพลิกแพลงของมันเห็นไหม ถ้ามันจะเป็น จะเป็นได้จริง คนที่มันจะสงบธรรมดา คือ ไม่มีไข้ ไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วย แต่มันสงบไปเฉยๆ สงบไปเรื่อยๆ ละเอียดไปเรื่อยๆ รู้ตัวไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้

แต่เวลาคนเป็นไข้เห็นไหม เป็นไข้ต้องวัดความดัน ต้องเตรียมการ ถ้ามันเป็นไข้มาก เราจะต้องเตรียมความพร้อมเพื่อจะรักษาโรคนั้น นี่ก็เหมือนกันจิตมันเริ่มมีอาการ อาการที่มันกระทบ มันจะหดตัวเข้ามา มันจะมีต่างๆ ไม่ต้องไปตื่นเต้นตกใจ ไม่ต้องไปตื่นเต้นตกใจ แต่ขณะที่จราจรคับคั่ง การจราจรคับคั่ง ความคิดมันเหยียบย่ำเรา เราก็ทุกข์พอแรงอยู่แล้ว แต่พอมันจะเปลี่ยนแปลงอีก ก็ตกใจอีก อาการตกใจ เมื่อตกใจแล้ว

เวลาที่ฤๅษีชีไพรนะ ที่เขาทำสมาธิน่ะ แล้วเขาเป็นฌานโลกีย์ แล้วเวลาเขาได้สมาบัติต่างๆ เห็นไหมที่เขาเหาะเหินเดินฟ้านั้นน่ะ เพราะตอนนั้นมันยังไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันต้องแบ่งแยกตรงนี้ก่อน แบ่งแยกที่ว่า ถ้าไม่มีปัญญาไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งนั้นทำมาแล้ว มันทรงตัวแล้วก็เสื่อมไปเท่านั้นเอง

แต่เพราะมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าธรรมกับโลก สิ่งที่เราใช้ปัญญากันอยู่ เราได้ศึกษานี่ เขาเรียกปัญญาโลก คือปัญญาเกิดจากสามัญสำนึก ปัญญาเกิดจากเราไง ปัญญาโลก นี้ปัญญาโลกมันแก้กิเลสไม่ได้ มันต้องเป็นปัญญาธรรม ถ้าเป็นปัญญาธรรม ปัญญาธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา

ถ้าปัญญาโลกมันมีอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะไปเรียนที่ตักกะศิลา เรียนวิชา ๑๘ วิชามาเพื่อปกครอง นั่นก็วิชา นั่นก็ปัญญา แล้วทำไมพระพุทธเจ้าไม่เป็นพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่ตอนนั้นล่ะ ทำไมพระพุทธเจ้าต้องมาทำความสงบของใจ ทำไมพระพุทธเจ้าต้องมากำหนด ทำไมพระพุทธเจ้าต้องมาใช้วิปัสสนา ทำไมพระพุทธเจ้าต้องมาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ปัญญาที่จะชำระกิเลส มันจะเป็นโลกุตตรปัญญา โลกุตตรปัญญามันอาศัยอะไร

ถ้าเป็นโลกียปัญญา ปัญญาที่เกิดจากเรา มันก็เกิดกับเราอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว แล้วถ้าธรรมพระพุทธเจ้าไม่มี เราก็ไม่เข้าใจ แต่ในปัจจุบันนี้ธรรมของพระพุทธเจ้ามีอยู่ใช่ไหม แล้วเราก็ไปก็อปปี้มาหมดเลย เราไปก็อปปี้ปัญญาพระพุทธเจ้ามาหมดเลย แต่การ ก็อปปี้เห็นไหม การที่ไปจำมา เราไม่รู้เนื้อหาสาระ เราไม่รู้ข้อเท็จจริง มันจำมา มันไม่มีเหตุผล มันไม่มีการกระทำเห็นไหม

สิ่งนั้นมันจำมา มันไม่มีข้อเท็จจริงกับใจดวงนั้น ทีนี้มันไม่มีข้อเท็จจริงกับใจดวงนั้น มันจำได้สิ จำได้เพราะอะไร เพราะมันมีข้อมูลให้จำ มันก็จำได้ ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าเอาอะไรไปจำ นี่พอไปจำมา อย่างนี้คือว่าโลกียปัญญาเห็นไหม ถ้าโลกียปัญญา มันเกิดจากอะไร เกิดจากจิตของเรา เพราะจิตของเรามันมีขันธ์ ๕ โดยสัญชาตญาณ มันมีของมันอยู่แล้ว

แต่ถ้ามันจะให้เป็นธรรมล่ะ ให้เป็นธรรมขึ้นมา มันต้องทำความสงบของใจ ที่ว่าทำความสงบของใจของเรามันเป็นธรรมความสงบของใจในอริยสัจ ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัมมาสมาธิไม่ใช่ฌาน ไม่ใช่ฌาน ถ้าเป็นฌานเป็นต่างๆ มันมีอยู่โดยดั้งเดิมเป็นฌานเพราะอะไร เพราะมันมีธรรมของพระพุทธเจ้า ธรรมมันขึ้นมาเองใช่ไหม แล้วโลกียปัญญามันเป็นฌานโลกีย์ ปัญญาก็ปัญญาโลกียปัญญา เวลาเป็นสมาธิขึ้นมาก็เป็นฌานโลกีย์ มันไม่เป็นสัมมาสมาธิ

คำว่าสัมมาสมาธิกำหนดคำว่าพุทโธ กำหนดพุทโธ พุทโธ เพราะเราตั้งใจ เหมือนเราตั้งใจ เรามีเป้าหมาย เป้าหมายเราทำสิ่งใดจะได้ประโยชน์สิ่งนั้น นี่เป้าหมายเราต้องการทำความสงบของใจ เราไม่ได้ทำฌานโลกีย์ เราไม่ได้ทำพลังงานใดๆ เราต้องการความสงบ ต้องการความสงบเพราะอะไร เพราะไม่ให้จราจรมันคับคั่ง ไม่ให้ความคิดมันส่งออก ไม่ให้ความคิดของเรามันเหยียบย่ำใจ

ถ้าความคิดเหยียบย่ำใจ เราก็เปลี่ยนความคิดใช่ไหม ความคิดที่มันเหยียบย่ำใจ เราก็เปลี่ยนความคิดขึ้นมา เราก็สบายใจ เราก็ว่างแล้ว แล้วเวลาเราประพฤติปฏิบัติที่ว่าปฏิบัติกันเห็นไหม ก็มันสบาย เหมือนไปทรงเจ้าเข้าผีนะ ไปทรงเจ้าเข้าผีให้เขาบ้วนน้ำลายใส่หัวทีเดียวน่ะ หายหมดเลย ว่าง คนเรามันเครียดอยู่แล้ว มันต้องการอยู่แล้วนะ ถ้ามีใครบอกสิ่งนี้ถูก สิ่งนี้มันสบายใจ

แต่! แต่ถ้าใครปฏิบัติอย่างนี้ไปนะ มันจะไปสู่ทางตันหมด มันจะไปตันหมด มันไปไม่ได้หรอก มันไม่มีทางออก มันจะไปสู่ทางตัน แต่ว่ามันบอกว่า ก็มันสบายๆ มันไม่มีเหตุผล มันสบายเพราะว่ามันเป็นสัญญาอารมณ์เหมือนกัน มันสร้างภาพอีกภาพหนึ่งไง มันสร้างภาพอีกภาพหนึ่ง เหมือนเรากู้นอกระบบเลย เรากู้นอกระบบมาเห็นไหม แล้วเอาเงินกู้มาใช้ มาใช้เงินกู้ไง

มันกู้นอกระบบไปเรื่อย ก็มันสบาย เมื่อหยิบจับนั้นมา หยิบตรงนั้นก็มาแปะตรงนี้ แล้วมันจบไหม มันจบไปไม่ได้หรอก มันต้องใช้หนี้ แต่การใช้หนี้ควรทำอย่างไร การใช้หนี้เห็นไหม มันต้องทำความสงบของใจ พุทโธ พุทโธ แล้วจะมีอาการ จิตมันมีอาการถ้าใครไม่สงบ จิตมันสงบ คำว่าสงบนี่นะ จิตสงบเวลาทำขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ

อัปปนาสมาธิมันรวมใหญ่ การว่ารวมใหญ่ จิตอย่างนี้ มันออกวิปัสสนาไม่ได้ แต่มันมีกำลัง เวลาเขามีกำลังเห็นไหม ดูอย่างเราออกกำลังกาย กำลังของเรายืนได้ระยะขนาดไหน นักกีฬาแข่งแต่ละประเภท เขาต้องใช้กำลังมากน้อยขนาดไหน ถ้ากำลังของเรายืนระยะไม่ได้เห็นไหม นักกีฬาเราจะแพ้ตลอดไปเลย นี่ก็เหมือนกันขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ อัปปนาสมาธิจะให้กำลังมาก

ทีนี้กำลัง คำว่ากำลังไม่ใช่เทคนิค กำลังไม่ใช่วิธีการ เห็นไหมกำลังเฉยๆ กำลังเฉยลงเล่นกีฬาแพ้หมด แต่นักกีฬาแชมป์โลกไม่ได้ซ้อมนะ ไม่ได้ซ้อม ไม่ได้มีกำลัง สมาธิไม่พอนะ เขาไม่ให้ลงหรอก ลงไปก็แพ้หมดเหมือนกัน กำลังเป็นพื้นฐาน สมาธิเป็นพื้นฐาน หลักของใจนี่เป็นพื้นฐาน เป็นพื้นฐานเท่านั้น ถ้าไม่มีพื้นฐานมันจะเป็นโลกียปัญญา

เหมือนเช่นเรานักกีฬา เราไม่ต้องขึ้นไปแข่งบนเวที เราอยู่ข้างล่างเก่งมากนะ คนไปดูกีฬามันรู้เลยว่า นักกีฬาเล่นผิดหรือถูกอย่างไร แต่มันลงไปเล่นไม่เป็น นี่ก็เหมือนกันถ้าไม่มีสมาธิใช่ไหม มันก็เหมือนกับเราอยู่กับขอบเวที อยู่ขอบของอริยสัจ อยู่ขอบของสัจจะความจริง มันพูดได้ร้อยแปดเลย แต่ให้มันลงไปทำ มันทำไม่เป็น ถ้าลงไปทำแล้วทำไม่เป็น มันไม่มีโอกาสของมันเห็นไหม

แล้วเวลาเราทำเป็น ทำอย่างไร ทำเป็นจะมีโอกาสทำขึ้นมาได้อย่างไร มันก็ต้องทำความสงบของใจเข้ามานี่แหละ ถ้าใจมันสงบเข้ามาใช่ไหม ถ้าใจมันสงบเข้ามา มันมีกำลังของมัน มันมีสิทธิลงไปแข่งขันของมัน แล้วลงไปแข่ง นักกีฬาทุกคนเริ่มต้นมาจากประสบการณ์ที่ไม่เป็น มันก็นักกีฬาเริ่มต้นเป็นตัวประกอบไปก่อน เป็นตัวสำรองเป็นตัวประกอบจนกว่าเขาจะมีความชำนาญของเขา

เราลงไปต่อสู้กับกิเลส เราจะชนะกิเลสโดยทีเดียวชนะได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้หรอก ครูบาอาจารย์ของเราลองผิดลองถูกกันมามหาศาล ความผิดความถูกอย่างนี้ จิตมันลงไปแล้วมันจะมีประสบการณ์ของมัน ถ้ามันลงไปมันมีประสบการณ์ของมัน จากตัวสำรองใช่ไหม มันเป็นตัวจริงขึ้นมาได้ ถ้าเป็นตัวจริงขึ้นมาได้ ตัวจริงลงแข่งจะแพ้หรือชนะอีกนะ

นี่เหมือนกันเวลาถ้าจิตมันสงบแล้ว มันจะออกวิปัสสนา จิตมันสงบแล้ว จิตมันสงบ ถ้าไม่มีจิตสงบนี้มันจะเป็นโลกียปัญญา ปัญญาที่พูดคุยกันอยู่นี้เป็นโลกียปัญญาทั้งหมด เพราะ!เพราะโลกียปัญญามันคือ ปัญญาวิทยาศาสตร์ สูตรวิทยาศาสตร์นี้แหละ โลกียปัญญา คือ โลก คือ สูตรตายตัว การทำงานเห็นไหม ดูคนที่ทำงาน คนทำงานเป็น เราทำงานเป็นเห็นไหม ตามกรอบการทำงาน ตามกรอบเราทำงาน งานนั้นจะติดขัดไหม ติดขัดทั้งนั้นเลย

คนทำงานเป็นเขาจะมีวิธีการของเขา ที่ให้งานนั้นสำเร็จได้โดย โดยไม่ผิดกฎหมาย โดยไม่ผิดศีลธรรม แต่มันต้องมีวิธีการทำงานของมันไป แต่ถ้าทำงานโดยกรอบ วิทยาศาสตร์คือกรอบ คือตายตัวไง นี่ไงเขาบอกให้คิดนอกกรอบ ให้คิดนอกกรอบให้คิด นี่ไงพอเราปฏิบัติไป ที่ว่าอริยสัจ อริยสัจมันเป็นหลักนะ แต่เทคนิคของมันมหาศาลเลย

ฉะนั้นเวลาพูดขึ้นมาเห็นไหม จะเป็นปัญญาอย่างนั้น “ปัญญาคือปัญญา” ปัญญาคือปัญญาไง คนไม่ภาวนานะมันจะแยกไม่ถูก เหมือนเรานะ เราเป็นผู้ชำนาญการ เด็กมันคิดอย่างนี้ เด็กมันทำอย่างนี้ เราจะรู้เลยว่าเด็กคนนั้นคิดได้ลึกตื้นอย่างไร ถ้าเด็กมันคิดระดับนี้ไช่ไหม แนวความคิดของมันจะเป็นวิทยาศาสตร์ แต่เด็กคนนี้มีประสบการณ์ วิทยาศาสตร์เขาก็รู้นะ

เหมือนที่ว่าเขามีทางวิชาการรองรับ แต่เขามีเทคนิคอีก เขามีวิธีการที่จะทำงานให้เขาเสร็จได้อีกประสบการณ์ของเขามีเห็นไหม พอมันปฏิบัติไปสุตมยปัญญา คือ การศึกษาจำ จำสูตรของทฤษฎีของพระพุทธเจ้าทั้งหมด จินตมยปัญญาเห็นไหม “จำ” จำ จากสุตมยปัญญา “จำ” แล้วจินตนาการเห็นไหม จินตมยปัญญา มันต่างจากจำหรือยัง จำแล้วนะมีข้อมูลจำ ขยายภาพ

แต่ถ้าไม่มีสมาธินะ มันเป็นจินตมยปัญญา แล้วภาวนามยปัญญาล่ะ ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการวิปัสสนา ถ้าคนรู้จักปัญญาหลายระดับ ปัญญาที่ลึกตื้นต่างกันเห็นไหม ว่าการจราจรคับคั่งขนาดไหน เพราะการจราจรคับคั่งแล้ว เวลาที่จราจรคับคั่ง เวลาที่จราจรไม่คับคั่ง มันแตกต่างกันแล้ว แล้วเวลาที่เมื่อก่อนที่ยังไม่มีการจราจร ไม่มีถนนหนทางเลย ระดับของมันเป็นอย่างไร แล้วมีแล้วใช้อย่างไร

นี่พอประสบการณ์มันมีเห็นไหม จากสุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญามันเกิดไง ถ้าภาวนามยปัญญามันเกิด ดูสิดูเจ้าหน้าที่จราจรเห็นไหม เขาจะมาไล่รถต่อเมื่อเวลาจราจรคับคั่ง เวลาชั่วโมงเร่งด่วน โอ้โฮ..ลงมาเต็มเลย หมดชั่วโมงเร่งด่วนนะ เขาก็ไปพักผ่อนกันแล้ว เขาไม่ยืนเฝ้าตลอดเวลาหรอก เขายืนเฝ้าต่อเมื่อมันจำเป็นเท่านั้นเอง

ถ้าภาวนามยปัญญามันเกิดขึ้นมาน่ะ เหตุการณ์ที่มันใช้ปัญญามันใช้ปัญญาอย่างไร แล้วปัญญาที่จะใช้ มันมีอะไรไปหนุนหลังมัน ดูสิดูพนักงานจราจรเขาลงไปควบคุมการจราจร ทุกคนคนขับรถมาต้องเคารพกติกาเขานะ ถ้าเราไปบังคับจราจร อย่างเราเขาจะเชื่อฟังเราไหม เขาไม่เชื่อฟัง เขาไม่เชื่อฟังเราหรอก แต่ถ้าเจ้าพนักงานเขามา เขามีสิทธิอำนาจตามกฎหมาย

นี่ก็เหมือนกัน ปัญญาที่มันเกิด อำนาจที่มีสัมมาสมาธิรองรับ อำนาจที่มีสติปัญญาที่มันเกิดขึ้นมาจากการปฏิบัติ มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร นี่การปฏิบัติมันมีพื้นฐานของมัน ฉะนั้นถ้ามีพื้นฐานมีความเป็นไปของมัน เราถึงต้องทำตามข้อเท็จจริง ที่เราพูดๆ อยู่นี่ เราพยายามจะพูดให้ทุกคนตรวจสอบ คือ ถ้าเราถลำไปนะ เราทำตามอย่างนั้นไปนะ ถึงเวลาแล้วนะ พอเราชราภาพไป เราแก่เฒ่าไป เราจะเสียใจตัวเราเองนะ

เวลาใครปฏิบัตินะ บอกว่าต้องเริ่มกลับมาทำอย่างนี้ โอ๋..ทุกคนเข่าอ่อนเลย เวลาปฏิบัติเห็นไหม ภิกษุบวชเมื่อเฒ่าแล้วว่าง่ายสอนง่ายไม่มี คนเรานะเริ่มต้นจากความสดชื่น เริ่มต้นจากการที่อยากประพฤติปฏิบัติอันหนึ่ง เวลาประพฤติปฏิบัติไปจนถึงที่สุด มันเหมือนกับเราไปทำงานมาแล้ววงรอบหนึ่งหรือทำมาจนเต็มที่แล้ว บอกให้มาเริ่มต้นใหม่ ถ้ามันผิดพลาดไปมันจะเป็นอย่างนั้น

แต่ถ้าเราปฏิบัติตามข้อเท็จจริง มันจะประสบความสำเร็จไหมล่ะ มันจะประสบความสำเร็จไหม ปฏิบัติตามข้อเท็จจริง คือ ทำตามข้อเท็จจริง ซื่อสัตย์กับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซื่อสัตย์ ผู้ใดเห็นไหม ผู้ใด สีเลนะ สุคติงยันติ ผู้ใดปฏิบัติศีลธรรม ศีลธรรมย่อมคุ้มครองเรา คุ้มครองเพราะอะไร คุ้มครองเพราะเราอยู่ในศีลในธรรม อยู่ในศีลในธรรม ใครเขาจะมาทำร้ายคนที่มีศีลมีธรรมเห็นไหม เราปฏิบัติธรรม ศีลธรรมจะคุ้มครองเรา

นี่ก็เหมือนกันถ้าเราซื่อสัตย์กับธรรมะ เราปฏิบัติตามตรงกับธรรมะ ปฏิบัติตามตรงกับที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ เราทำตามนั้น ธรรมะนั้นจะคุ้มครองเรา ได้ประโยชน์ตามความจริงของเรา “ศีล สมาธิ ปัญญา”

พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว “ศีล สมาธิ ปัญญา” นี่พอบอกว่าเอาเหมือนกับศาสดาใหม่บัญญัติขึ้นมาใหม่เลย รื้อทิ้งให้หมด ลืมมันไปให้หมด ไม่ต้องไปสนใจมันเลย นี้คือนิพพาน มันเป็นคนละเรื่องกัน มันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่ตัวเองคิดขึ้นมาอย่างนั้น มันทำกันมาอย่างนั้น มันทำให้เสียดายโอกาส เสียดายเวลาไง

โอกาสของใคร ถ้าใครซื่อตรงต่อธรรม แล้วปฏิบัติตามธรรมนั้น มันจะล้าหลัง มันจะแบบว่าไม่ทันสมัย นั่นมันเรื่องของเขาพูดนะ แต่ความจริงไอ้คนที่ล้าหลังน่ะทันสมัย ทันสมัยกว่าสมัยของมรรค ผล นิพพาน ไง สมัยของการกระทำของเราไง ไม่ใช่สมัยที่เรานึกคาดเดาเอา สิ่งนั้นเป็นสมัยที่นึกคาดเดาเอา มันเป็นสังคมเห็นไหม ดูสิหุ้นขึ้นหุ้นลง เวลาขาขึ้นแหมสนุกครึกครื้นนัก เวลามันลงขึ้นมาคอตกหมดเลย ไอ้คนไปค้างอยู่ลงไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นไปน่ะ นั่นน่ะมันจะเสียใจทีหลัง

แต่ถ้าเป็นความจริงนะประสบการณ์ไง เวลาเราพลิกฝ่ามือน่ะ เวลาพุทโธ พุทโธ พุทโธไปเวลาพลิกฝ่ามือ อย่างน้อยมันก็แหวกอากาศนะ จิตถ้ามันมีกำหนดพุทโธ ถ้ามันมีอาการเป็นไปอย่างใดไม่ต้องไปตื่นเต้นตกใจกับสิ่งนั้น เราได้ฟังมาเยอะมาก อย่างบอกพุทโธ พุทโธ พุทโธจะติดนิมิต จะติดสมถะ ขอให้มันมีเถอะ ให้มันมีเถอะ ขออยากจะติด ไอ้นี่มันไม่มีให้ติด

ถ้ามันมีสมถะมีความสงบของใจ มันจะติดขอให้มีเถอะน่า แล้วให้มันติดเถอะ เหมือนเงิน ใครจะไปรังเกียจเงิน เงินเอามาเท่าไรก็ได้ แต่นี่ไม่พูดเลยนะ เป็นสมถะ มันจะไม่ดีอย่างนั้นต้องใช้ปัญญา แต่ไม่รู้เลยว่าปัญญา เวลาพูดถึงปัญญานะ เพราะเราดู เราดูทั้งนั้นที่เขาพูดออกมาน่ะ มันเหมือนท่องจำ เห็นไหมเวลานกแก้วนกขุนทองน่ะ เวลาเขาไปให้กล้วยมันน่ะ แม่จ๋า..ก็ได้กล้วยชิ้นหนึ่ง แม่จ๋า..ก็ได้อีกชิ้นหนึ่ง ถามนกแก้วนกขุนทองมันรู้จักแม่จ๋าไหม มันนึกว่าแม่จ๋า คือ กล้วยนะ

นี่ก็เหมือนกันเหมือนท่องจำน่ะ ท่องจำให้กล้วย แม่จ๋า.. แม่จ๋า.. แล้วกล้วยมันไม่ใช่แม่ แม่คือพ่อแม่ของเรา แต่นี่เด็กๆ ใช่ไหม พูดถึงเรียกพ่อเรียกแม่ได้เขาก็ชื่นใจใช่ไหม เขาก็ตบมือให้ นี่ก็ฝึกเรียกแม่ แม่ แล้วก็ให้กล้วยมัน มันเข้าใจว่ากล้วยคือแม่นะ ท่องจำก็เหมือนกัน ท่องจำจนเปลี่ยน มันเข้าใจความหมายผิดหมดเลย มันเข้าใจความหมายผิดหมด คำว่าแม่จ๋าก็ คือ กล้วย

แม่จ๋า แม่นี่มีคุณค่ามากนะเพราะเราเกิดจากแม่ แม่พระธรณีเห็นไหม ทำหน้าที่ให้แหล่งอาหารกับเรา แม่ของเราก็ให้ชีวิตกับเราเห็นไหม เวลาลูกบวชพ่อแม่ได้ ๑๖ กัป เพราะอะไร เพราะเอาเลือดเนื้อเชื้อไขเข้าไปค้ำศาสนา เกิดจากไข่ของแม่ เลือดเนื้อเชื้อไขเกิดมาก็กินน้ำนมก็ดื่มน้ำเลือดของแม่ เอาเลือดเนื้อเชื้อไขไปค้ำศาสนา ค้ำศาสนาได้มากได้น้อยก็แล้วแต่

๑๖ กัปหมายถึงว่าเอาเลือดเนื้อเชื้อไขเข้าไปค้ำ ไอ้ลูกก็ลูกมาบวช แต่ลูกมันมาจากไหน มันมาจากพ่อจากแม่ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก พ่อแม่จะดีก็เป็นพระอรหันต์ของลูกที่ดี พ่อแม่จะเป็นคนขนาดไหน เป็นคนอย่างไรก็แล้วแต่ ก็เป็นพระอรหันต์ของลูก พ่อแม่ก็คือพ่อแม่ มันเป็นตอนเกิดไง ตอนเกิดไปดูสิเราไปตรวจเลือดตรวจดีเอ็นเอสิ ตรวจกรรมพันธุ์ของพ่อแม่หมดเลย

แต่ไปตรวจหัวใจสิไม่เหมือนเลย อภิชาตบุตร พ่อแม่เกิดมาแล้วดี ลูกเกิดมาจากพ่อแม่ดีกว่าพ่อแม่ ลูกเกิดมาแล้วเสมอพ่อแม่ ลูกเกิดมาต่ำกว่าพ่อแม่ แต่ถ้าดีเอ็นเอกรรมพันธุ์นะ เลือดพ่อเลือดแม่ตามสายปู่ย่ามาเป็นอย่างนั้นหมดเลย นี่เรื่องของโลกเห็นไหม เวลาพ่อแม่ถึงมีคุณค่ามาก ทีนี้คำว่าพ่อแม่สิ่งที่เราคิดเราศึกษากัน ทีนี้เราย้อนกลับไป แล้วเรามาจากไหนล่ะ เรามาจากพ่อจากแม่

แล้วจิตใจเรามาจากไหน มาจากกรรม แล้วกรรมมันเป็นอย่างไร กรรมเป็นอย่างไร สิ่งที่เราทำมา จิตใจเราได้สร้างบุญกุศลมามากน้อยขนาดไหน ถ้าเราสร้างบุญกุศลมามาก ครูบาอาจารย์ท่านบอกอย่าด่วนตัดสินใจว่า เรามีอำนาจวาสนา หรือไม่มีอำนาจวาสนา อำนาจวาสนามนุษย์สมบัติอริยทรัพย์ การเกิดเป็นมนุษย์ สิ่งนี้มันเกิดมาแล้ว มันเสมอภาคแล้ว เรามีโอกาสแล้ว

ทีนี้พอเรามาประพฤติปฏิบัติ เรามาค้นคว้าของเรา มาตั้งใจของเรา เราก็ไปท้อถอยเห็นไหม เห็นคนอื่นทำแล้วง่าย ยิ่งเวลาพูดนะ โทษนะ ไอ้พวกขี้โม้นั่นน่ะ มันยิ่งโม้นะ ปฏิบัติอย่างนั้นๆ นะ เราไปนั่งฟังอยู่นะ เราอิจฉาเขานะ ทำไมเขาปฏิบัติง่าย ทำไมเขาไปไว ทั้งๆ ที่มันโม้นั่นน่ะ มันเองพูดมันยังไม่รู้เรื่องเลยนะ แต่ไอ้คนจริงๆ ไปฟังเขาโม้นะ โอ้ย..มันน้อยเนื้อต่ำใจนะ ทำไมเขาปฏิบัติแล้วเขาไปไกล คือ มันเข้าใจผิด มันพูดผิดๆ เพราะมันไม่รู้

มันก็ว่ามันพูด มันประพฤติปฏิบัติแล้วได้สมาธิ ได้ปัญญาของมัน ไอ้คนจะเอาความจริงไปนั่งฟังแล้วก็นั่งเสียใจ เอ..ทำไมเขาไปไกล แล้วก็จะจำเขานะ จะเอาตามเขานะเห็นไหม ทั้งๆ ที่มันโม้ มันพูดไม่จริง ไอ้เราปฏิบัติจริงอยู่ เลยทิ้งความจริงไปเอาสิ่งที่เขาโม้กันน่ะ จริตนิสัยคนไม่เหมือนกัน เขาจะพูดกันขนาดไหน เริ่มต้นจากพื้นฐานของจิตเขาโลเล เขาพูดของเขา เขาไม่มีหลักเกณฑ์ของเขา เขาไม่ซื่อสัตย์กับจิตใจของเขา เขาไม่ซื่อสัตย์จากข้อเท็จจริงของเขา เขาถึงพูดผิดๆ ถูกๆ

ไอ้เราเป็นคนที่มีหลักมีเกณฑ์เห็นไหม เรามีอำนาจวาสนานะ วุฒิภาวะเรามั่นคง เราซื่อสัตย์ นี่คำพูดต้องเป็นความจริงทั้งหมดเลย แล้วเราไปฟังเขาพูดเห็นไหม วุฒิภาวะของจิตมันต่างกัน แล้วเราไปเอาคนอย่างนั้นมาเป็นหลักได้อย่างไร เราจะเอาคนเป็นหลัก เราต้องเอาศาสดา เอาครูบาอาจารย์ของเรา เอาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านปฏิบัติจริงรู้จริง เอาอันนั้นเป็นหลัก

แล้วเรามาปฏิบัติของเราได้หรือไม่ได้ นักกีฬาแข่งเห็นไหม เราเป็นตัวจริงแล้ว เรายังแข่งแพ้เขาอยู่ ประสบการณ์เรายังน้อยกว่ากิเลส กิเลสมันเหยียบย่ำ กิเลสมันดีดเราตกเวทีตลอดเลย ก็ตั้งใจสู้กับมัน สู้กับกิเลสนะ กิเลสของคนเห็นไหม มันแตกต่างหลากหลาย จริตของคนมันก็แตกต่างหลากหลายเราก็ต้องสร้างกำลังของเรา แล้วเข้าไปต่อสู้ เข้าไปต่อสู้ ต่อสู้กับอะไร

กิเลสเป็นนามธรรม กิเลสมันอยู่ที่ไหน อะไรเป็นกิเลส กิเลสนี่เป็นนามธรรม ตัณหาความทะยานอยากน้ำล้นฝั่ง คือ อำนาจของใจ อยากได้อะไร อยู่ที่จริตนิสัย บางคนชอบอะไร อยากได้อะไรมันจะได้อย่างนั้น หลวงตาจะสอนประจำ ถ้ามันอยาก อย่าไป! ถ้ามันอยากจะทำ ไม่ทำ! ถ้าเราฝืนได้หนหนึ่ง รอบนี้มันต้องการสิ่งใดแล้วแต่ เราฝืนไม่ทำมันหนหนึ่ง ชนะหนหนึ่ง ไม่ทำจนสิ้นสุดกระบวนการแล้ว เราจะภูมิใจแล้ว อืม.. เราก็สู้มันได้

นี่ไง นี่กิเลสอยู่ไหน สู้กิเลส สู้กิเลส คือ ฝืนความชอบ ฝืนความชอบใจ ใจมันชอบต้องการสิ่งใด ไม่เอามัน เว้นไว้ เว้นไว้แต่หน้าที่การงาน ถ้าทำหน้าที่การงานต้องทำสิ่งที่ดี เพราะเราต้องมีอาชีพ เราต้องมีการงาน งานอย่างนั้นเราต้องทำ แต่เวลากิเลส ไอ้เรื่องงานส่วนเรื่องงานนะ งานไม่อยากทำ มันอยากจะไปเที่ยววิ่งเต้นของมันเห็นไหม เราฝืนอย่างนั้น คือ ฝืนกิเลส

ฝืนใจเรา ฝืนความคิด ฝืนความต้องการ ต้องการปรารถนาฝืนมันฝืนกิเลส ถ้าฝืนกิเลสบ่อยครั้ง บ่อยครั้งเข้าเห็นไหม กิเลสมันจะควบคุมไม่ได้ พอควบคุมไม่ได้ มันจะทำสมาธิก็ได้ง่ายขึ้น ทำได้ดีขึ้น จากเดิมที่ไม่เคยทำสมาธิได้เลย หรือทำแล้วสู้มันไม่ได้เลยเห็นไหม จะแพ้ตลอด แต่เราฝืน ฝืนบ่อยๆ ครั้งเข้า ฝืนมันก็ยังไม่เป็นสมาธิหรอก แต่ฝืนมันทำให้มีกำลังมากขึ้นไง

มีดถ้าเราใช้บ่อยๆ เข้ามันจะไม่คม ถ้ามีดเราใช้น้อยแล้วเราหมั่นลับ หมั่นรักษามันจะคม พุทโธ พุทโธ มันลับ หมั่นรักษาให้มีดเราคม เราฝืนบ่อยๆ เข้า จนมีดเราคมนะ ถ้ามันคมมันก็ตัด กิเลสคืออะไร กิเลสคือตัณหาทะยานอยากที่มันพอใจ พอเราตัดมันบ่อยครั้งเข้าๆ มันมีจุดยืนของมันเห็นไหม แล้วเวลามันพิจารณาไปน่ะ

ตัณหาทะยานอยากมันอยากในอะไร อยากในข้าวของ อยากในโลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภมียศเสื่อมยศ อยากให้เขาสรรเสริญนินทา อยากอย่างนี้มันอยากมาจากไหน อยากอย่างนี้จิตใจมันอาศัยขันธ์ ๕ อาศัยความรู้สึกออกไปเห็นไหม ออกไปเพื่อแสวงหาอยู่อย่างนั้นนั่นกิเลส กิเลสเป็นนามธรรมๆ ธรรมะนี่ก็เป็นนามธรรม ธรรมะที่เป็นนามธรรม แต่ที่ผู้ปฏิบัติไปแล้วนะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการอยู่ที่เขาคิชฌกูฏ ถ้ำสุกรวัฒนะ หลานพระสารีบุตรจะไปต่อว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า เอาตระกูลของพระสารีบุตรมาบวชทั้งหมดเห็นไหม ไม่พอใจสิ่งต่างๆ ไม่พอใจต่างๆ พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าเธอไม่พอใจสิ่งต่างๆ เธอต้องไม่พอใจอารมณ์ความรู้สึก “วัตถุ” วัตถุไง อารมณ์ความรู้สึก

อารมณ์ความรู้สึกเธอก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง ถ้าสติเราทัน มีปัญญาทันขึ้นมา มันจะเห็นที่ว่าจิตเป็นนามธรรม นามธรรมน่ะ ว่าสิ่งนี้เป็นนามธรรม แต่ถ้าจิตมันสงบนะ นามธรรมมันจับได้ ถ้าเธอไม่พอใจ ความไม่พอใจกับสิ่งที่เป็นความคิด เป็นนามธรรม มันก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง ถ้าจิตมันละเอียด จิตมันสงบ มันจับความคิดได้ ความคิดอารมณ์ความรู้สึกมันจับได้เลย

แล้วมันเอามาวิปัสสนาได้ มันแยกแยะได้ เพราะอารมณ์ความรู้สึกอย่างนี้ มันสร้างเป็นนามธรรมนี่แหละ แต่มันมีอารมณ์มีความรู้สึก จิตมันถึงจับได้ พอจับได้มันก็แผ่ขยายไป ไปยึดมั่นถือมั่น ไปต้องการสิ่งต่างๆ เห็นไหม พอจิตมันจับได้ จิตมันออกมาแยกแยะ วิปัสสนาเกิดตรงนี้ ถ้าวิปัสสนาเกิดขึ้นมา มันชะล้าง ทีแรกกิเลสมันหยาบ มันก็ อารมณ์ความรู้สึกมันออกไปหมดเลย

พอสติมันทันขึ้นมา มันก็ยับยั้งขึ้นมา ยับยั้งให้จิตมันเป็นอิสรภาพขึ้นมา มันมีกำลังของมันขึ้นมา พอมีกำลังขึ้นมามันเป็นเอกัคคตารมณ์มันตั้งมั่น จิตมันตั้งมั่น ศีล สมาธิ มีสมาธิ มีฐีติจิต มีจิตเดิมแท้ ว่าจิตเดิมแท้มันออกไปจับอารมณ์ความรู้สึกอย่างนี้ แล้วมันแยกแยะของมัน สิ่งที่ต่อสู้ขัดขืนกับกิเลสมาเรื่อยๆ จนตัวเองยืนขึ้นมาได้ จนตัวเองมีหลักมีเกณฑ์ของมันขึ้นมาเห็นไหม

แล้วหลักตัวเองออกชำระ ออกแยกแยะ ออกหา ออกทำความสะอาดในรอบวงของจิต ในรอบวงของใจ จิตไม่ใช่ขันธ์ พลังงานไม่ใช่ความคิด ความคิดมันเป็นเปลือกที่มันครอบคลุมพลังงานนี้อยู่ แล้วพอพลังงานนี้มันสงบขึ้นมา พลังงานนี้มันจับความคิดได้ พลังงานมันจะล้างตัวมันเองนะ มันล้างความคิดเห็นไหม รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สิ่งที่ตัณหาทะยานอยากอาศัยออกไปหาเหยื่อ ที่กิเลสมันใช้งานมันน่ะ เราใช้สติ ใช้สมาธิ ใช้ปัญญา เข้ามาซักฟอกมัน ซักฟอกมัน ถึงที่สุดเห็นไหม เห็นโทษไง

เวลาบอกว่าคนนั้นรังแกเรา คนนั้นทำร้ายเรา ทุกคนไม่รักเรา ทุกคนพูดอย่างนั้นหมดเลยนะ แต่เวลาตัวเองทำร้ายตัวเองมันไม่เคยเห็นนะ เวลาความคิดมันทำร้ายเรา ความคิดมันเป็นเรื่องโลกความคิดมันเป็นเรื่องสิ่งที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ถ้าพอชำระล้างอย่างนี้ พอจิตที่มันโดนใช้ชีวิตประจำวันที่เรื่องโลก เป็นเรื่องธรรม เรื่องธรรมเห็นไหม

ชีวิตประจำวันก็เป็นชีวิตประจำวัน แล้วสิ่งที่เป็นชีวิตประจำวันมันเกิดขึ้นมาจากไหน มันเกิดขึ้นมาจากสิ่งที่มีชีวิต เพราะเรามีชีวิตเราถึงมีชีวิตประจำวัน ถ้าเราไม่มีชีวิตชีวิตประจำวันมาจากไหน แล้วชีวิตประจำวันมาจากไหน มันมาจากจิต ถ้าจิตมันเกิดมาเป็นเรา เป็นเราแล้ว แล้วเราไปทำความสะอาดพลังงานที่มาเป็นชีวิตประจำวัน มันเข้าไปล้าง เข้าไปทำความสะอาดกันนะ

วิปัสสนามันเกิด ปัญญามันเกิด ถ้าปัญญามันเกิด โลกุตตรปัญญา นี่ปัญญาธรรมะพระพุทธเจ้าบอกปัญญา ปัญญา พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา เพราะปัญญาอย่างนี้ ปัญญาเป็นภาวนามยปัญญาอย่างนี้ ถึงทำให้เกิดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดจากปัญญา เกิดจากปัญญาญาณ

ปัญญาที่มีสมาธิเป็นญาณเห็นไหม เขาว่าญาณทัสสนะ ก็คือ ทัศนคติ ไม่ใช่! ทัศนคติเป็นทัศนคติของคน แต่เพราะมีสมาธิมีญาณมีความรู้สึกอันนี้ต่างหากล่ะ ปัญญามันถึงได้ลึกซึ้งไง เพราะมันมีญาณ คือ มีสมาธิ มีญาณ ญาณหยั่งรู้ ญาณความรู้ แล้วมีปัญญาบนญาณนั้น พอญาณนั้นมันก็ย้อนกลับเข้าไปทำลายอวิชชาในหัวใจนั้น ปัญญามันเกิดอย่างนี้

นี่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา แต่เป็นปัญญาญาณ ไม่ใช่ปัญญาสมอง ไม่ใช่ปัญญาจำ ปัญญาจำ ปัญญาสมอง นี่ปัญญาโลก ถ้าปัญญาญาณอย่างนี้เกิดขึ้นมา ๆ มันพุทธศาสนา ฉะนั้นเราประพฤติปฏิบัติกันแล้ว มาตามข้อเท็จจริง ใครจะไปเร็ว ใครจะไปดีขนาดไหน ก็เรื่องของเขานะเพราะคนที่ไปเร็ว กระต่ายกับเต่าน่ะ กระต่ายมันจะไปนอนหลับอยู่ข้างหน้าน่ะ ไอ้เต่ามันจะเข้าเส้นชัย

ไอ้เรามันทำตามความเป็นจริง จะต้วมเตี้ยมๆ ก็ขอให้สี่ขายืนมั่นๆ ไอ้กระต่ายมันโดดไปโดดมามันจะไปนอนหลับอยู่ข้างหน้า เพราะด้วยความประมาทของมัน นี่กระต่ายกับเต่านะ แต่ถ้ามันเป็นกิเลส มันไม่ใช่กระต่ายกับเต่า มันเป็นอากาศ มันเป็นสิ่งที่ไม่มีสิ่งใดเลย เสียหายเปล่าๆ ไม่มีสิ่งใดเป็นสิ่งที่ได้ประโยชน์กับจิตดวงนั้นเลย

ถ้าประพฤติปฏิบัติเห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอก ทาน ศีล ภาวนา ทำทานร้อยหนไม่เท่าถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ถือศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่าเกิดสมาธิหนหนึ่ง สมาธิร้อยหนพันหนไม่เท่าเกิดปัญญาหนหนึ่งเห็นไหม ทาน ศีล ภาวนา สิ่งที่ทางปฏิบัติ การเกิดภาวนาขึ้นมา มันจะเกิดให้เป็นเชาว์ปัญญา ปัญญาจะเกิดจากการภาวนา

แล้วเราก็ภาวนาอยู่ ไม่ใช่ปัญญากระต่ายกับเต่า มันทำให้เสียหายอย่างไร เสียหายเพราะเป็นมิจฉาไง ปัญญามันเกิดขึ้นมา คือ ปัญญาชำระล้างกิเลส ปัญญาจะเกิดขึ้นมาให้เราเข้มแข็ง ไอ้นี่มันเกิดเป็นมิจฉา เกิดเป็นปัญญากิเลส กิเลสมันพาให้เป็นสายบุญสายกรรม กับเรื่องของเวรกรรมไปอีก นอกลู่นอกทางไปเลย มันจะชักเข้ามาสู่สัมมาทิฏฐิถึงความเห็นถูกต้อง เพื่อชำระกิเลส มันก็เลยชักให้เราออกนอกลู่นอกทางไปเป็นเหยื่อของเต่าของปลาไปหมดเลย นี่ไงมันถึงว่าเป็นการสูญเปล่าไง

แล้วภาวนามันสูญเปล่าได้อย่างไร ภาวนาแล้วมันต้องมีบุญสิ นี่ภาวนาไง ภาวนาต้องเป็นสัมมาทิฏฐิสิ ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ มันภาวนาอย่างนี้ มันจะเกิดปัญญาขึ้นมา มันจะเป็นปัญญาของเรา มันจะชำระกิเลสของเรา มันทำให้เราพัฒนาขึ้นมา แล้วถ้ามีปัญญาอย่างนี้ มีประสบการณ์อย่างนี้นะ จะนั่งหัวเราะนะ เวลาฟังเขาพูดน่ะนั่งขำ มันเรื่องเด็กๆ เอ๊ะ..ปัญญาอย่างนี้เขาก็พูดกัน

มันเป็นธรรมชาตินะ ถ้าคนไม่รู้พูดออกมา มันพูดออกด้วยความไม่รู้ มันพูดด้วยเสียงดังฟังชัดนะ แต่ไอ้คนรู้ฟังแล้วมันน่าขำนะ มันขำ.. พูดออกมามันขัดแย้งกัน ด้วยคำพูดนั้นก็ขัดแย้งกัน ทฤษฎีก็ขัดแย้งกัน ข้อเท็จจริงก็ขัดแย้งกัน ขัดแย้งกันไปหมดเลย ทำไมคนพูดมันไม่เข้าใจ ทำไมคนพูดมันพูดออกมาได้อย่างไร แต่คนเป็นฟังแล้วขำ นี่ไงเพราะอะไร เพราะเขาพูดออกมาด้วยความไม่รู้

นี่พูดออกมาด้วยความไม่รู้ เราเองวุฒิภาวะนะ ถ้าเราไม่มีพื้นฐาน เราฟังไม่ออก ถ้าเรามีพื้นฐานเราจะฟังออก เราจะเห็นว่าสิ่งนั้นผิดหรือถูก ถ้าสิ่งนั้นผิดหรือถูก มันจะรู้ว่าสิ่งนั้นผิดหรือถูก มันต้องมีความผิดความถูกในใจเราก่อน เพราะใจเราเคยประสบความผิดพลาดมา ใจเราเคยโดนเหยียบย่ำมา ใจเราเคยตกระกำลำบาก ตกระกำลำบากนะ

เวลาภาวนา หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ครูบาอาจารย์เรา ท่านถึงถนอมรักษาลูกศิษย์มาก เพราะท่านเองท่านทุกข์ยากมาก่อน ดูสิเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาทั้งวันทั้งคืน มันทุกข์ไหม ทุกข์ทั้งนั้นน่ะ ในปัจจุบันเราเห็นหลวงตานะ เวลาใครอดอาหารนะ ท่านจะตักอาหารใส่ถ้วยเล็กๆ แล้วบอกให้คนนั้นๆ เพราะอะไร เพราะท่านเคยอดอาหารมาท่านเคยทุกข์มา การอดอาหารทุกข์ไหม ทุกข์ เพราะอะไร เพราะทอนกำลัง ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ทับจิต

ไอ้เราที่ภาวนากันไม่ได้ๆ กินอิ่มนอนอุ่นแล้วไปนั่งสัปหงก แต่ถ้าเราตัดมันนะ ตัดมันหิวไหม หิว.. พอหิวขึ้นมาพอผ่อนอาหารไปเรื่อยๆ นะ มันจะเหมือนเราคนเป็นไข้แล้วหายจากไข้ คนเป็นไข้แล้วหายจากไข้มันจะเบามาก อาหารที่มันกินเข้าไป มันจะสะสมพลังงาน ธาตุ ๔ ธาตุมีกำลังมาก จิตมันอ่อนแอเกินไป มันจะฟื้นตัวยาก พอเราผ่อนอาหาร ผ่อนต่างๆ จิตมันจะโล่ง มันจะมีทางออกได้ มันจะปฏิบัติได้ง่าย

การอดนอนผ่อนอาหารมันเป็นอุบาย มันเป็นการตัดทอนพลังงานที่มันมากเกินไป ที่จิตมันแหวกคือมันไม่ไหว ถ้าเราผ่อนขึ้นมา มันทุกข์ไหม ทุกข์ อดอาหารใครไม่หิว ไม่มี! แต่ แต่เราหวังผลที่มากกว่านี้ เราหวังผลจากการกระทำนั้น ฉะนั้นถ้าลงทุนด้วยความหิวแต่มันไม่ตาย หิวเราก็มีส่วนต่างๆ มีน้ำอะไรต่างๆ ประคอง ประคองให้ร่างกายนี้มันมีชีวิตไป แล้วพุทโธ พุทโธ พุทโธ สติมันนะมันจะตั้งมั่น มันจะทำได้ง่าย ใครที่นั่งสัปหงกโงกง่วงนะ ลองไม่กินข้าว ๕ วัน ๑๐ วัน ดูสิ..มันจะง่วงไหม ถ้ามันง่วงดูสิมันจะตายไหม

อดนอนผ่อนอาหารมันเป็นอุบายเป็นวิธีการ แต่ครูบาอาจารย์ท่านทำมาแล้ว ท่านก็เห็นใจเห็นไหม เราจะบอกครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติท่านเห็นใจมากนะ เราจะต้องลงทุนลงแรงสู้กันอย่างนี้ เพราะพลังงานในตัวเราเองนี่แหละ มันกดจิตเราเอง ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ที่กิเลสมันหยาบๆ ขันธ์ ๕ มันกดจิตไว้มันกดพลังงานไว้ เพราะขันธ์ ๕ มันไม่ใช่เราหรอก ถ้าเรานะ ความคิดมันจะเป็นเราตลอด เราจะนอนหลับไม่ได้เลย เวลาเราหลับ เราไม่ได้คิดอะไรเลย ความคิดมันหายไปไหน

ขันธ์ ๕ ไม่ใช่จิตแต่มันอาศัยจิตเกิดขึ้น สติไม่ใช่จิตแต่อาศัยจิตเกิดขึ้น กิเลสไม่ใช่จิตแต่อาศัยคุมจิตอยู่ อวิชชามันครอบงำหมดเลย ไม่ใช่อาศัยจิตอยู่ มันครอบงำหมดเลย แล้วค่อยๆ เลาะ ค่อยๆ แก้ ค่อยๆ ต่อสู้ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าลืมๆ ไปแล้วก็เป็นพระอรหันต์ ลืมมัน ลืมกิเลสเป็นพระอรหันต์แล้ว กิเลสไม่มี ลืมมันไป ลืมกิเลสหมดเลย กิเลสไม่มี ไม่เคยมีในพุทธศาสนา

พุทธศาสนาต้องต่อสู้จริง ต้องทำจริง แล้วเราจะได้ประโยชน์จริงๆ นะ เราสู้จริงทำจริงเพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง